![]() |
| การเดินทาง |
![]() |
| การศึกษา |
การศึกษาก็เหมือนกับการเดินทาง ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจจะกำลังตั้งคำถามและคิดแย้งว่าคำทั้งสองคำนี้จะเหมือนกันได้อย่างไร
สิ่งที่เจ้าของบทความคิดว่าทั้งสองคำนี้มีความเหมือนกันไม่ใช่ความหมายที่แปลออกมาจากพจนานุกรม
แต่สิ่งที่สองคำนี้เหมือนกันคือเมื่อถึงปลายทางต่างก็ประสบผลสำเร็จตามที่ปรารถนาหรือคาดหวังไว้
ซึ่งกว่าจะถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ต้องใช้เวลาและต้องพบเจอเรื่องต่างๆมากมายจนเกิดเป็นประสบการณ์
ในส่วนของการเดินทางสิ่งที่จะตัดสินได้ว่าการเดินทางครั้งนั้นสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้หรือไม่
ก็คงดูได้จากการเดินทางไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แต่สำหรับการศึกษาสิ่งที่จะตัดสินว่าการศึกษาครั้งนั้นบรรลุตามเป้าหมายได้หรือไม่
ก็คงจะเป็นการที่สามารถเรียนจบออกมาแล้วมีงานทำ สามารถพึ่งพาตัวเองได้
ถ้าเปรียบเทียบการศึกษาของนิสิตครูกับการเดินทาง
ในชั้นปีแรกก็เหมือนกับเพิ่งได้ออกตัวจากจุดเริ่มต้น ระหว่างทางย่อมพบเจออุปสรรค แต่ละคนก็มีวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน คนที่รู้ตัวว่าสายงานนี้ไม่ใช่ก็จะทยอยออกจากเส้นทางนี้เพื่อไปหาจุดเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางใหม่
เช่น การลาออกและสอบใหม่เพื่อเปลี่ยนคณะหรือเปลี่ยนมหาวิทยาลัย ส่วนคนที่พร้อมจะก้าวเดินในเส้นทางนี้ต่อไปก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาที่เจอเพื่อให้สามารถเดินทางต่อไปได้
คนที่สามารถรับมือกับอุปสรรคที่เจอได้ก็สามารถเดินทางต่อไปได้ อุปสรรคเหล่านั้นเมื่อผ่านมาได้ก็จะสั่งสมจนกลายเป็นประสบการณ์
การสั่งสมความรู้และประสบการณ์ของนิสิตครูในรั้วมหาวิทยาลัยใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ปี สิ่งที่จะตัดสินว่าประสบการณ์และความรู้เหล่านั้นสามารถนำไปใช้ได้หรือไม่ก็ตัดสินกันในชั้นปีสุดท้ายของการศึกษา
ในชั้นปีที่5นี้นิสิตครูทุกคนจะต้องลงโรงเรียนเพื่อฝึกประสบการณ์วิชาชีพเป็นระยะเวลา1ปี
หลากหลายคำบอกเล่าที่เจ้าของบทความเคยได้ยินกันปากต่อปากจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องที่ได้ออกไปฝึกประสบการณ์ว่าทฤษฎีที่ได้ร่ำเรียนมาช่างแตกต่างจากชีวิตจริงเหลือเกิน
ดังนั้นในบทความนี้จึงขอนำกรณีตัวอย่างเกี่ยวกับปัญหาที่พบเจอเมื่อไปฝึกประสบการณ์ที่เจ้าของบทความสนใจมาถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือเพื่อเป็นวิทยาทานในการนำไปปรับใช้ต่อไป
ชื่อที่เจ้าของบทความใช้ในบทความนี้เป็นเพียงชื่อสมมติเท่านั้น
แคร์ เป็นนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู เธอเลือกฝึกสอนในโรงเรียนมัธยมสังกัดเทศบาลแห่งหนึ่ง
เธอได้รับมอบหมายให้สอนในวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แคร์รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้ครูพี่เลี้ยงที่ใจดีมาก
ซึ่งต่างกับเพื่อนนิสิตอีกคนที่ได้ครูพี่เลี้ยงที่ค่อนข้างเข้มงวด ชีวิตก่อนเปิดเรียนเริ่มต้นด้วยการทำแผนการสอนและสื่อที่ต้องใช้สอนให้เสร็จเรียบร้อย
เมื่อวันเปิดเรียนมาถึงในคาบแรกทุกอย่างดำเนินการไปได้ด้วยดี
ถึงแม้จะติดขัดบ้างแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปสักระยะแคร์เริ่มรู้สึกว่าการควบคุมชั้นเรียนให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะเรียนเริ่มเป็นสิ่งที่ยาก
เริ่มมีนักเรียนที่เข้าชั้นเรียนสาย ขณะสอนนักเรียนคุยกันเสียงดังไม่สนใจที่เรียน เมื่อมอบหมายงานให้ทำมีนักเรียนไม่ส่งงานตามที่มอบหมายไป
แคร์จึงนำปัญหาที่เกิดขึ้นไปปรึกษากับครูพี่เลี้ยง ครูพี่เลี้ยงจึงเสนอวิธีแก้ปัญหาแต่เมื่อนำไปใช้ก็ไม่ได้ผลตามต้องการ
ครูพี่เลี้ยงจึงเสนอว่าจะสอนในคาบเรียนนั้นด้วยเพื่อมาช่วยคุมนักเรียนด้วยกัน
แต่ผลที่ได้ก็ยังเหมือนเดิมคือนักเรียนคุยกันในห้องเรียนและไม่สนใจเรียน
ซึ่งแตกต่างกับห้องของเพื่อนนิสิตที่ได้ครูพี่เลี้ยงค่อนข้างเข้มงวด นักเรียนสนใจและตั้งใจเรียนเป็นอย่างดีสาเหตุเพราะกลัวครูพี่เลี้ยงของเพื่อนที่เข้มงวด
ในตอนนั้นเองแคร์จึงตระหนักได้ว่าทุกอย่างเมื่อมีด้านบวกก็ต้องมีด้านลบเสมอ ไม่มีอะไรที่ดีทุกอย่าง
ในตอนแรกเธอรู้สึกดีใจที่ได้ครูพี่เลี้ยงที่ใจดี แต่เพราะความใจดีนี้เองทำให้นักเรียนไม่เกรงใจและทำให้ไม่สามารถควบคุมชั้นเรียนได้เลย
ไม่ใช่เฉพาะคาบที่แคร์สอนเมื่อไปสังเกตการสอนคาบของครูพี่เลี้ยงนักเรียนก็จะแสดงพฤติกรรมไม่ต่างกัน
แคร์แก้ปัญหาในห้องเรียนที่เจอไปทีละขั้นเริ่มจากพฤติกรรมเข้าห้องเรียนสายแคร์ก็จะตั้งกฎว่านักเรียนที่เข้าเรียนสายจะถูกลงโทษ
เมื่อมีการตั้งกฎขึ้นมาพฤติกรรมของนักเรียนก็เริ่มดีขึ้น
พฤติกรรมที่นักเรียนไม่ตั้งใจเรียนแคร์ก็เปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนใหม่โดยใช้การทำงานกลุ่มและการเล่นเกมส์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหามาดึงดูดความสนใขของนักเรียน
เมื่อแก้ปัญหาไปทีละขั้นปัญหาเหล่านั้นก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตเปิดเทอมช่วงแรกการใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มสาระก็เป็นสิ่งที่แคร์รู้สึกดีมาก
มีครูหลากหลายท่านมาพูดคุยแสดงความเป็นกันเองและคอยให้คำปรึกษาแคร์อยู่เสมอ ไมตรีจิตที่ได้รับทำให้แคร์รู้สึกไว้ใจและแสดงความเป็นตัวเองออกไปอย่างไม่ปิดกั้น
เมื่อมีการสอบถามความคิดเห็นอะไรแคร์ก็จะแสดงความเห็นออกไปอย่างที่ใจคิดเสมอ ระยะเวลาผ่านไปล่วงเลยจนผ่านไปแล้วหนึ่งเทอม
สิ่งที่แคร์ทราบจากเพื่อนนิสิตฝึกสอนในวันนั้นทำให้แคร์ได้ประสบการณ์ในชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
เพื่อนมาเตือนแคร์เรื่องการแสดงความคิดเห็นต่อครูในกลุ่มสาระเพราะเพื่อนได้ยินครูในกลุ่มสาระคนที่แคร์ค่อนข้างสนิทด้วยนินทาแคร์ให้กับครูอีกคนฟังว่าเป็นคนไม่รู้จักเกรงใจผู้อื่น
ชอบเสนอความคิดเห็นทั้งที่เป็นแค่นิสิตฝึกสอน จากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้แคร์คิดได้ว่าการที่เราไว้ใจผู้อื่นมากเกินไปทำให้เราไม่ทันระวังตัว
สังคมครูในกลุ่มสาระเป็นสังคมที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ได้มีขนาดเล็กพอที่จะรู้จักนิสัยใจคอของแต่ละคน
เพราะครูแต่ละคนก็มาจากสังคมที่แตกต่างกัน เมื่อมาอยู่ร่วมกันย่อมมีคนที่คิดเหมือนและคิดต่าง
เมื่อมีผู้หวังดีต่อเราก็ย่อมมีผู้ที่คิดร้ายต่อเราเช่นเดียวกัน หลังจากวันนั้นแคร์ก็เริ่มตีตัวออกห่างจากครูคนนั้นมากขึ้น
เหตุการณ์นี้ทำให้แคร์ระมัดระวังและรู้จักกับคำว่าการใส่หน้ากากเพื่อปกป้องตัวเอง
จากเดิมที่แคร์มักจะเสนอความคิดเห็นของตัวเองบ้างเมื่อโดนถาม แคร์ก็เปลี่ยนบทบาทจากผู้พูดมาเป็นผู้ฟังที่ดีและส่งยิ้มกลับไปให้เพียงเท่านั้น
แคร์ยอมรับตามตรงว่าเหตุการณ์นี้ทำให้แคร์ไม่อยากไปโรงเรียนเลยเพราะรู้สึกว่าเหนื่อยใจกับเหตุการณ์ที่ได้เจอสังคมแห่งการใส่หน้ากาก ดังคำโบราณที่กล่าวว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก
แต่เพราะหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ นักเรียนจึงเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้แคร์อยากไปโรงเรียนและพร้อมที่จะสู้ต่อไป
นี่เป็นเพียงตัวอย่างประสบการณ์ที่เจ้าของบทความยกมานำเสนอให้ผู้ท่านทุกท่านได้ทราบ
ประสบการณ์การฝึกสอนของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันตามวันเวลา บุคคล โอกาสและสถานที่ที่ต่างกัน
สำหรับเหตุการณ์ตัวอย่างข้างต้นเจ้าของบทความขอเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญาที่พบเจอ ดังนี้
1.ปัญหานักเรียนเข้าเรียนสาย
:
เจ้าของบทความเสนอให้มีการตั้งกฎในห้องเรียนตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ได้พบนักเรียน
เช่น ถ้านักเรียนเข้าเรียนสายจะถูกลงโทษด้วยการทำความสะอาดห้องเรียนหลังเรียนเสร็จ
เป็นต้น
2.ปัญหาส่งงานช้ากว่ากำหนด
: ควรแก้ด้วยตั้งกติกาการส่งงาน
ถ้านักเรียนสามารถทำงานส่งได้ทันในเวลาที่กำหนดคะแนนจะอยู่ระหว่าง 7-10 คะแนน แต่ถ้าส่งช้ากว่ากำหนดจะได้คะแนนไม่เกิน
5คะแนนถึงแม้จะทำถูกหมดก็ตาม เป็นต้น
3.ปัญหานักเรียนไม่สนใจเรียน
: ควรแก้ปัญหาโดยการใช้วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย
เช่น ใช้การทำงานเป็นกลุ่ม มีการตั้งกติกาการหักคะแนนเป็นกลุ่ม เพื่อให้นักเรียนดึงเพื่อนที่ไม่สนใจให้มาสนใจเรียน
ใช้การแข่งขันแบบเกมส์ในการจัดการเรียนรู้ เป็นต้น
4.การวางตัวของนิสิตฝึกประสบการณ์ : เพราะต้องไปอยู่ในสถานที่และสังคมใหม่ๆไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคย
ดังนั้นการมีสัมมาคาระวะจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด นอกจากนั้นควรยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอเพราะจะทำให้ดูเข้าถึงได้ง่าย
น่าพูดคุยด้วย นิสิตฝึกประสบกาณ์ควรปฏิบัติตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วที่พร้อมจะรับคำติชมและรับประสบการณ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
นอกจากนั้นต้องพร้อมที่จะแสดงศักยภาพออกมาเมื่อได้รับโอกาสและทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด
สิ่งที่ควรระลึกไว้คือเมื่อมีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบด้วยเช่นกัน
ให้ระมัดระวังคำพูดและกิริยาท่าทางที่แสดงออกอยู่ตลอดเวลา อย่าไว้ใจใครง่ายๆ



นางสาวณัฐอนงค์ ด้วงแก้ว รหัสนิสิต 581031269
ตอบลบจากที่ได้อ่านดิฉันคิดว่า พี่แคร์มีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีและมีสติมากพอสมควร เพราะการเป็นนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายสำหรับใครหลายๆคน เพราะจะต้องเจอกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และเด็กนักเรียนที่เราต้องให้ความรู้ อีกทั้งต้องคอยดูแลควบคุมพฤติกรรมของนักเรียนที่ไม่ตั้งใจเรียน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อนักเรียนคนอื่นๆ และต้องทำให้กลับมาตั้งใจเรียนให้ได้ ซึ่งดิฉันคิดว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทายมากอย่างหนึ่งสำหรับดิฉันเลยที่เดียว
สุดท้ายนี้ก็ขอให้กำลังใจแก่ผู้ที่กำลังจะออกไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพทุกๆท่านค่ะ
ณัฐฐืณีภรณ์ ศรีสุขใส 581031268
ตอบลบจากเรื่อจากเรื่องราวของพี่แคร์ทำให้ได้รับคำแนะนำดีๆในการนำไปใช้ในรร.การว่างตัวกับครูพี่เลี้ยง กับครูในสาระเดียวกัน กับเพื่อน ซึ่งอย่าซึ่งอย่าไว้วางใจใครง่าย ๆ ไม่ใช่ใไม่ใช่ใครที่จะเข้าใจความคิดของเรา แต่อาจจะคิดไปต่าง ๆนานา การระวังการระวังคำพูดถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อีกทั้งการการสอนที่มีการนำเกมส์เข้ามาเพื่อทำให้นักเรียนตั้งใจเรียนมากขึ้น และพยายและพยายามหาวิธีการแก้ไขการไม่สนใจเรียน ซึ่งจริง ๆการไม่ๆการไม่ส่งการบ้านก็ให้นักเรียนทำให้เสร็จภายในห้องเรียนเลย และให้คะแนนพิเศษสำหรับนักเรียนที่ตั้งใจเรียนทำการบ้านส่ง ✌️
นางสาวนฤมล เข็มจันทร์ 581031271
ตอบลบจากบทความข้างต้น ทำให้ดิฉันทราบถึงปัญหาในห้องเรียนที่เราไม่อาจเลี่ยงได้ วิธีการจัดการชั้นเรียนที่เหมาะสมกับนักเรียนของเรา ตลอดทั้งการอยู่ในร่วมกันในสังคม ต้องมีสัมมาคารวะ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ การแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ดีแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องปฏิบัติตนเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย ความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้กันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีแต่เราก็ต้องไม่ไว้ใจผู้อื่นมากจนเกินไป เพราะเราเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นาน จะเห็นว่าการเป็นนิสิตฝึกสอนต้องมีการปรับตัวและแก้ไขปัญหาในหลายๆด้าน ก้าวแรกมันยากเสมอ แต่ก็เชื่อว่ามันคงไม่ยากเกินความสามารถของเรา จึงอยากให้เพื่อนๆสู้ และอดทนนะคะ